วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556


1. พระนอนวัดพุทไธศวรรย์ อำเภอพระนครศรีอยุธยา 

           พระพุทธไสยาสน์สมัยอยุธยา ที่แสดงลักษณะพระบาทเหลื่อม สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ราว พ.ศ.1896 ในบริเวณ "เวียงเหล็ก" หรือ "เวียงเล็ก" ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ประทับเดิมของพระองค์ ภายในบริเวณมีวิหารพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่เพียงผนังและกรอบหน้าต่างบางส่วน และองค์พระพุทธไสยาสน์ก่อด้วยอิฐถือปูน ซึ่งมีพุทธลักษณะพิเศษ คือ เป็นหนึ่งในพระพุทธไสยาสน์ของอยุธยาเพียงไม่กี่องค์ที่แสดงลักษณะ การวางพระบาทเหลื่อม อันเป็นลักษณะเบื้องต้นของการคลี่คลายพุทธลักษณะให้คล้ายคนธรรมดา

           นอกจากนั้นพระพาหา และพระกรที่พับวางราบด้านหน้า ในลักษณะหงายพระหัตถ์เพื่อรองรับพระเศียรนั้น เป็นรูปแบบที่นิยมมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ลพบุรี อู่ทอง แตกต่างจากพระนอนในอิทธิพลศิลปะสุโขทัยที่พบในเขตเกาะเมืองอยุธยา ซึ่งมักจะตั้งพระกรขึ้นและหงายพระหัตถ์รองรับพระเศียรอยู่บนพระเขนย จึงนับเป็นตัวอย่างในการศึกษาพุทธศิลป์ในสมัยอยุธยาที่น่าสนใจ อย่างยิ่ง

           ถ้าใครได้มาสักการะ ถือว่าจะได้เรื่องเมตตามหานิยม ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน


2. พระนอนวัดพนมยงค์ อำเภอพระนครศรีอยุธยา



           วัดพนมยงค์ หรือวัดแม่นมโยง เป็นนามของแม่นมของพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้ปฎิบัติดี มีใจสัตย์ซื่อและยึดถือคุณธรรมในการดำเนินชีวิต เมื่อหมดอายุขัยลงพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น จึงได้โปรดเก้าฯให้สร้างวัด อุโบสถและวิหารพระนอนองค์ใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกรุงเก่า ริมคลองเมือง เยื้องหน้าโรงเรียนประตูชัย ตำบลท่าว่าสุกรี (ในเขตเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา) สันนิษฐานว่าสร้างพระนอนองค์ใหญ่ทำด้วยปูนปั้นสวยงาม พุทธลักษณะละม้ายไปทางสุโขทัย เพราะพระศกท่านคล้ายก้นหอยขม และเข้าใจว่าแม่นมยงค์น่าจะเกิดวันอังคารจึงได้สร้างพระนอนองค์ ใหญ่ไว้ประจำวัด เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความดีงามของแม่นมยงค์

           ถ้าใครได้มาสักการะ ถือว่าจะได้เรื่องโชคลาภและหายจากการเจ็บป่วย

3. พระนอนวัดเสนาสนารามราชวรวิหาร อำเภอพระนครศรีอยุธยา



           วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ทางด้านหลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม เป็นวัดโบราณเดิมชื่อ "วัดเสื่อ" มีวิหารพระพุทธไสยาสน์ อยู่ติดกับพระเจดีย์องค์ใหญ่ ซึ่งพระวิหารนี้สร้างขวางกับแนวพระอุโบสถ พระพุทธไสยาสน์เป็นศิลปะแบบอยุธยา ประกอบด้วยศิลาเป็นท่อน ๆ นำมาเรียงต่อกันแล้วสลักเป็นองค์พระมีขนาด ยาว 14.2 เมตร แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระมหาธาตุ รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างวิหารพระนอนขึ้นในวัด แล้วอัญเชิญพระพุทธไสยาสน์จากวัดมหาธาตุมาประดิษฐานไว้ที่วัดนี้ 

           ถ้าใครได้มาสักการะ ถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและประสบความโชคดี




วัดพระนอน


วัดพระนอน
              จักรสีห์วรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรีไปตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3032 (สายสิงห์บุรี - สุพรรณบุรี) ระยะทางประมาณ 4 กม.

            สันนิษฐานว่าวัดนี้สร้างสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะแบบสุโขทัย ที่มีความงดงามมาก มีความยาวทั้งสิ้น 1 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ และ 7 นิ้ว ลักษณะ พระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก พระกรขวายื่นไปด้านหน้า ไม่งอพระกรขึ้นรับพระเศียร เหมือนแบบไทย นอกจากนี้ยังมีพระแก้ว พระกาฬ เป็นพระพุทธรูปนั่งศิลา ลงรักปิดทอง และพระนั่งขัดสมาธิเพชร อันศักดิ์สิทธิ์ และมีพุทธลักษณะงดงาม ด้านหน้าวิหารมีต้นสาละลังกาใหญ่ ต้นไม้สำคัญในพุทธประวัติ ผลิดอกบานสะพรั่ง อยู่เสมอวัดนี้เปิดให้เข้าชมและนมัสการได้ทุกวัน
 
เครดิต : วัดพระนอน

รูปหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
                 (วัดหิรัญญาราม) จ.พิจิตร ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น มีผู้คนมาให้ท่านช่วยรดน้ำมนต์ให้ไม่ขาดสาย ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลานที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่อมาก็มีหลายท่าน เช่น หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง ที่มีชื่อเสียงในด้านตะกรุดคู่ชีวิต หลวงพ่อน้อย วัดคงคาราม ผู้สร้างตะกรุดหนังปลากระเบน และตะกรุดหนังอีเก้ง ปลัดชุ่ม วัดท้ายน้ำ หลวงพ่อหอม วัดหลวง หลวงพ่อนวล วัดหาดมูลกระบือ หลวงพ่อฟุ้ง วัดปากน้ำ หลวงพ่อขำ วัดโพธิ์เตี้ย หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวงพล ผู้สร้างเหรียญหล่อหลวงพ่อเพชรจำลอง หลวงปู่ภู วัดท่าฬ่อ เป็นต้น นอกจากนี้ศิษย์ฆราวาสก็คือเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ท้ายที่สุด หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณ ฝ่ายวิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อเงิน ท่านได้มรณภาพ ด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์เดือน 10 แรม 11 ค่ำ ปีมะแมเวลา 5.00 น.ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2462รวมอายุได้ 111 ปีพรรษา 90 ณ วัดวังตะโก ตำบลบางคลาน อำเภอบางคลาน จังหวัดพิจิตร คงทิ้งไว้แต่เรื่องราวอันเป็นปาฏิหาริย์มากมาย นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุยืนนานมากที่สุดรูปหนึ่ง ประวัติหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร พระเครื่องหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานนับเป็นอีกหนึ่งในจำนานของวงการพระเครื่องไทย  


เครดิต : วัดบางคลาน



ไหว้พระ 9 วัด เชียงใหม่

วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดเก่าแก่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาช้านานมาวัดนี้เพื่อมากราบไหว้ขอพร พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเชียงใหม่   ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ วิหารทรงพื้นเมืองล้านนา  วัดพระสิงห์มีพระอุโบสถและสถาปัตยกรรมพื้นเมืองล้านนาที่มีลวดลายแกะสลัก สวยงาม โดยเฉพาะพระเจดีย์ทรงปราสาท



ไหว้พระ 9 วัด เชียงใหม่

วัดชัยพระเกียรติ ทำบุญวัดนี้เพื่อเสริมสร้างเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ให้มีแก่ตัวตนของเรา ต่อจากนั้นให้เพิ่มความสมบูรณ์พูนสุขนั่งรถย้อนกลับมาเส้นทางเดิมผ่านวัดพระสิงห์เลี้ยวขวาแล้วตรงไปเรื่อยๆ จะเห็นป้าย

ไหว้พระ 9 วัด เชียงใหม่  

 วัดดับภัย   เพื่อมาไหว้ขอพรหลวงพ่อ ดับภัย ซึ่งมีตำนานเล่าลือถึงถึงการดับเภทภัยให้กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการป่วยไข้ หรือการดับเคราะห์ดวงชะตา ในวัดมีบ่อน้ำที่เรียกว่าบ่อน้ำดับภัย เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ นำไปสรงน้ำพระพุทธมนต์หรือเพื่อสืบดวงชะตาได้




วัดที่น่าท่องเที่ยว




วัดโพธิ์

             พระพุทธไสยาส  พระองค์นี้ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.๓ ทรงสร้าง ขึ้นครั้งทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน  เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ คือการปฏิสังขรณ์ครั้งนั้น ได้โปรดฯ ให้ขยายเขตพระอารามออกไปทางทิศเหนือ  แล้วโปรดฯ  ให้สร้างพระพุทธ ไสยาสขึ้นในที่ซึ่งได้ขยายออกไปใหม่นั้น  เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ด้านพระพักตร์สูง ๑๕ เมตร  มีความยาวตลอดทั้งองค์ถึง ๔๖ เมตร  พื้นพระบาทประดับด้วยมุกไฟเป็นภาพมงคล ๑๐๘ พระพุทธไสยาสองค์นี้ได้รับการขนานนามว่า เป็นพระพุทธไสยาสองค์ใหญ่ ที่มีความงดงามที่สุดในประเทศไทย

        ที่ผนังพระวิหารหลังนี้มีภาพเขียนสีและจารึกเรื่อง มหาวงศ์ (พงศาวดารลังกาทวีป) อยู่ด้านบนเหนือหน้าต่างขึ้นไป ระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเรื่อง พระสาวิกาเอตทัคคะ (ภิกษุณี) ๑๓ องค์ อุบาสกเอตทัคคะ ๑๐ ท่าน อุบาสิกาเอตทัคคะ ๑๐ ท่าน                                                                            




วัดพระแก้ว

             วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา และมีพระราชประสงค์ให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ที่นำมาจากกรุงเวียงจันทร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว พบเจอวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย และเป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส

        วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด การบูรณะครั้งใหญ่ทั้งพระอาราม มีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2425 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามในโอกาสที่มีพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี ในรัชกาลปัจจุบันโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามอีกครั้งใน พ.ศ. 2525 เมื่อมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ

       วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ

Credit : วัดพระแก้ว



File:Watarunportalyaksha.jpg


วัดแจ้ง
                วัดอรุณราชวราราม หรือที่นิยมเรียกกันในภาษาพูดว่า วัดแจ้ง หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า วัดอรุณ เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว
              เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน พ.ศ. 2327

credit : วัดแจ้ง


นิทานอีสป

คลิ๊กที่ภาพ


นิทานอีสป เรื่อง ปลาโลมากับสิงโต

ครั้งหนึ่ง" ปลาโลมากับสิงโต 'ได้ตกลงดื่มน้ำรวามสาบานเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายต่อกัน
ครั้นวันหนึ่งสิงโตมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับควายป่า จนถึงขั้นต่อสู้กัน
ดังนั้นสิงโตจึงวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ชายหาดหาโลมาเเล้วร้องว่า
"โลมาเพื่อนยาก ถึงคราวที่ท่านต้องทำตามสัญญาเเล้ว ไปช่วยข้าสู้กับควายป่าด้วยเถิด"
เเต่ปลาโลมาต้องปฏิเสธเพราะไม่สามารถขึ้นมาบนบกได้ "เพราะว่าโลมานั้นเป็นสัตว์น้ำ จะขึ้นบนบกก็ขาดใจตายเป็นแน่" เเม้ว่ามีน้ำใจอยากจะช่วยมิตรสหายเพียงใดก็ตาม
"โธ่เอ๋ย! ปลาโลมาเพื่อนทรยศ ไม่สมกับเป็นเจ้าเเห่งทะเลเลย"
สิงโตบ่นว่าเพื่อนร่วมสาบาน ปลาโลมาจึงว่า
"ก็เพราะข้าเป็นใหญ่ในน้ำน่ะสิ ขึ้นบกไปเเล้วข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไมท่านไม่เข้าใจเลย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  "จะขอให้ใครช่วย ควรดูความถนัด"



คลิ๊กที่ภาพ

นิทานอีสป เรื่อง วัวกับเเมลงหวี่

 เป็นเรื่องของวัวกับแมลงหวี่ท้าสู้กัน วัวนั้นเป็นสัตว์ตัวใหญ่

เเละก็มีพละกำลังมิใช่น้้อย เเต่เมื่อสัตว์ตัวน้อยกระจ้อยร่อย อย่างเเมลงหวี่มาก่อกวนท้าทาย

เเทนที่จะวางตนนิ่งเฉยไม่ยุ่งด้วย แต่วัวกลับไม่ยอมให้กับเเมลงหวี่ที่คุยข่มตน จึงท้าสู้กัน

ถ้าใครชนะก็เเสดงว่าผู้นั้น ยิ่งใหญ่กว่า เมื่อวัวตอบตกลง

เเมลงหวี่ก็บินตอมวนเวียนอยู่รอบๆ เขาเเละเหนือศีรษะของวัว

ในขณะที่วัวไม่สามารถจะ ขวิดเเมลงหวี่หรือทำอะไรเเมลงตัวน้อยๆ ได้เลย

วัวได้เเต่อับอายขายขี้หน้าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่มามุงดูกันเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น

นิทานอีสเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าวางตนนิ่งเฉยไม่วุ่นวายกับสิ่งที่ไม่คู่ควร ก็ไม่ต้อง อับอายเปลืองตัว


คลิ๊กที่ภาพ


นิทานอีสป เรื่อง เทียนแข่งแสง 

เมื่อเทียนไขถูกจุดใช้จนใกล้จะหมดเเท่งนั้น เเสงของเทียน มักจะยิ่งสว่างเรืองรอง

ขึ้นกว่าเดินหลายเท่านัก ด้วยเหตุนี้เทียนเเท่งหนึ่งจึงคุยอวดกับเจ้าของว่า

"เเสงเทียนของข้านั้นสว่างกว่าเเสงดาว เเสงจันทร์ เเละเเม้กระทั่งเเสงอาทิตย์ด้วยนะ"

ทันใดนั้นเองกระเเสลมก็พัดผ่านมาวูบหนึ่ง เเล้วเเสงเทียนดับ วูบลง

เจ้าของจึงจุดเทียนขึ้นใหม่เเล้วกล่าวว่า "เเสงอาทิตย์ เเสงจันทร์ เเละเเสงดาวนั้นยากที่จะดับ เเละไม่ ต้องมีใครจุดให้ เเต่เทียนอย่างเจ้านั้นต้องมีคนจุดจึงจะมีเเสง เเละเจ้าก็มีวันดับมีวันหมดเเสง"

 นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำหน้าที่ของตนอย่างเจียมตน จึงดูมีคุณค่าน่าไปเปรียบเทียบ เเข่งขันกับผู้อื่น 


คลิ๊กที่ภาพ

นิทานอีสปเรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับไก่บ้าน

มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมันอยากกินไก่บ้านมาก
จึงเเกล้งถามด้วยอุบายว่า "ท่านไก่ ท่านขันเสียงไพเราะเหมือนผู้เป็นพ่อ ได้หรือไม่ "
ส่วนไก่บ้านหลงกล จึงหลับตาโก่งคอขันทันที
สุนัขจิ้งจอก จึงฉวยโอกาสงับคอไก่เเล้วพาวิ่งไป
ชาวนาจึงตะโกนร้องว่าจิ้งจอกขโมยไก่ของตน
ไก่จึงหลอกให้สุนัขจิ้งจอกร้องบอกชาวบ้านว่า "ไก่ตัวนี้เป็นของมันมิใช่ของชาวบ้าน"
จิ้งจอกเจ้าเล่ห์คิดว่าตนฉลาดเเต่ที่เเท้ยังขาดความเฉลียว
ดังนั้นมันจึงอ้าปากร้องบอกชาวบ้านตามที่ไก่เเนะนำ
ไก่จึงได้ทีรีบบินปรื๋อออกจากปากหนีไปหาเจ้าของอย่างรวดเร็
วเเล้วก็หัวเราะเยาะ สุนัขจิ้งจอกเป็นการใหญ่ ที่หลงกลอ้าปากปล่อยตัวเอง
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าพูดมากไป ก็อาจทำให้เสียของดีๆ ที่อยู่ในกำมือเเล้ว ได้เช่นกัน

คลิ๊กที่ภาพ

นิทานอีสป เรื่อง สามีผู้ใจดี 

ชายคนหนึ่งมีภรรยาสองคน เขามักตามใจภรรยาทั้งสอง อยู่เสมอ

เพราะความรักอันเต็มเปี่ยมภรรยาสาวนั้น อยากให้สามีวัยกลางคนดูหนุ่มเเน่นตลอดเวลา

จึงถอนผมหงอกออกเสมอ ฝ่ายภรรยาที่อายุมากก็อยากให้ สามีดูมีอายุเหมือนตน

จึงคอยถอนผมดำออกไปเพื่อให้เหลือเเต่ผมหงอก

วันหนึ่งสามีไปส่องกระจกเห็นตัวเองมีศรีษะล้านเลี่ยน " ก็ต้องร้องลั่นบ้าน ด้วยความตกใจสุดขีด "

นิทานอีสเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่ตามใจคนอื่นจนเกินไป ก็สิ้นความเป็นตัวเอง